วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558


พหุนาม คือ อะไร
พหุนาม (Polynomial) คือ นิพจน์ที่สามารถเขียนอยู่ในรูปเอกนามหรือผลบวกของบวกหรือการลบของเอกนามตั้งแต่ 2 เอกนามขึ้นไป

พหุนาม = เอกนาม1 + เอกนาม2 + เอกนาม3 + ... เอกนามn 

ตัวอย่าง
พหุนาม
เกิดจาก
a + 2
2 เอกนามบวกกัน
x + xy
2 เอกนามบวกกัน
x2 - 3x + 4
เกิดจาก 3 เอกนามบวก-ลบกัน
x2 + xy – y2 + 1
เกิดจาก 4 เอกนามบวก-ลบกัน


 ดีกรีหรือกำลังของพหุนาม  ให้เอาดีกรีสูงสุดของเอกนามเป็นดีกรีของพหุนาม
ตัวอย่าง

พหุนาม
ดีกรีของพหุนาม
ดูจาก
x3 +5x2
3
x3
x4 +x2 -4
4
x4
4 – x4 + x5
5
x5
xy – 8
2
xy
x2y – 5x2
3
x2y
x5 + x4y3
7
x4y3
 a2b + 4ab2 - a2b2
4
a2b2



ตัวอย่างการคำนวณตัวอย่างชุดที่ 1  การบวกพหุนาม ใช้หลักการ นำเอกนามที่เหมือนกันมาบวกกัน

1) (a + 7) + (3a – 4)
    = a + 7 + 3a – 4
    = 4a – 3
2) (5a +b) + (a –b)
    = 5a +b +a –b
    = 6a
3) (6a2 + 3) + (a – 2a2)
   = 6a2 +3 -a –2a2
   = 4a2 –a +3
4) (x2 +5x –7) + (2x2 –x +10)
  = x2 +5x –7 + 2x2 –x +10
  = 3x2+4x +3
5) (x3 + x2 -4) + (x3 +7x2 -5x)
  = x3 + x2 -4 + x3 +7x2 -5x
  = 2x3 + 8x2 -5x -4
6) (x + 6y) + (2x – 8y) + (5x + y)
  = x + 6y + 2x – 8y + 5x + y
  = 8x - y

สมบัติที่ต้องทราบเพิ่มเติม คือ
  1) a(b + c) = ab + ac  เรียกว่า สมบัติการแจกแจงหรือการกระจาย
  2) -(a - b) = -a + b

ตัวอย่างชุดที่ 2  การลบพหุนาม


1) (5x – 3) – (2x –7)
  = 5x –3 –2x +7
  = 3x + 4
2) (2x –y) – (5x –y)
  = 2x –y –5x +y
  = -3y
3) 4(x +1) -2(x +5)
  = 4x +4 –2x –10
  = 2x –6
4) 3(x2 -2x -4) – (x2 -5x +7)
  = 3x2 -6x –12 –x2 +5x -7
  = 2x2 -x -19
5) -5(x3 –7x) +6(x2 +5) – (–9x3 +4x2)
  = -5x3 +35x +6x2 +30 +9x3 –4x2
  = 4x3 +2x2 +35x +30
6) (11x3 +5x2 -8x –15) – 5(2x3 +x2 -4x -3)
  = 11x3 +5x2 -8x –15 –10x3 -5x2 +20x +15
  = x3 +12x


การคูณเอกนามกับพหุนาม  หลักการ ใช้สมบัติการแจกแจงมาใช้ด้วยตัวอย่างที่ 1
1) 2(x +4) = 2x +82) 3(x –2y +1) = 3x –6y +3
3) -7(x2 + 3xy -4)
  = -7x2 -21xy + 28
4) -5(2x3 +8x2 –x +4)
   = -10x3 -40x2 +5x -20
5) 2(x -7) + 3(x +2y)
   = 2x –14 +3x +6y
   = 5x +6y –14
6) 5(x –4) -2(x+7)
   = 5x –20 -2x -14
   = 3x -34
7) (10a -5) – (b -5)
   = 10a –5 –b +5
   = 10a –b
8) 5m –2(3n +8m)
   = 5m -6n –16m
   = -11m –6n
9) -4(a +2b -C) + 2(a -5b -2c)
   = -4a –8b +4c +2a -10b -4c
   = -2a –18b
10) 3(x3 +x2 -2) -2(x3 +x2 +4)
   = 3x3 +3x2 -6 –2x3 -2x2 -8
   = x3 + x2 -14
11) 7(x2 +3xy + 4x2y) –7(x2 –5xy + x2y)
  = 7x2 +21xy + 28x2y –7x2 +35xy –7x2y
  = 56xy + 21x2y

ตัวอย่างชุดที่ 2
1) x(x2 + 2x -1) = x3 + 2x2 – x
2) x2(x2 – x – y) = x4 – x3 –x2y
3) 2x(x5 + 3) = 2x6 + 6x
4) 3y2(y2 + y - 5) = 3y4 + 3y3 -15y2
5) -2x3(x2 + 5xy – y) = -2x5 – 10x4y +2x3y
6) xy(x2 + xy – y3) = x3y + x2y2 – xy4
7) a2b2(a2 + a2b3 – b4) = a4b2 a4b5 – a2b6
8) -6ab5(a +4a2b – 2b) = -6a2b5 -24a3b6 +12ab6

การคูณพหุนามกับพหุนาม  หลักการที่นำมาใช้คือ (a +b)(x +y) = a(x +y) + b(x +y) = ax +ay +bx +byตัวอย่างชุดที่ 3
1) (x +3)(x +5)
  = x(x +5) +3(x +5)
  = x2 +5x +3x +15
  = x2 +8x +15
2) (x -7)(x+7)
  = x(x +7) -7(x+7)
  = x2 +7x -7x -49
  = x2 –49
3) (2x +3)(x -1)
  = 2x(x-1) +3(x-1)
  = 2x2 -2x +3x -3
  = 2x2 +x –3
4) (x2 +4)(x -3)
  = x2(x-3) +4(x-3)
  = x3 –3x2 +4x -12
5) (x2 +4)(x2 -6)
  = x2(x2 -6) +4(x2 -6)
  = x4 -6x2 + 4x2 -24
  = x4 -2x2 -24
6) (x +3)(x +y -3)
  = x(x +y -3) +3(x +y -3)
  = x2 +xy -3x +3x +3y –9
  = x2 +xy + 3y – 9
7) (ab +4)(a +3)
  = ab(a + 3) +4(a +3)
  = a2b +3ab +4a + 12
8) (a2 +b)(a2 -b)
  = a2(a2 -b) +b(a2 -b)
  = a4 –a2b +a2b –b2
  = a4 –b2
9) (a -5)(a2 –a +8)
  = a(a2 –a +8) -5(a2 –a +8)
  = a3 –a2 +8a -5a2 +5a - 40
  = a3 -6a2 +13a -40

10) (a -1)(a +2)(a -3)
= {a(a+2) –(a+2)}(a-3)
= {a2 + 2a –a -2}(a-3)
= (a2 +a -2)(a -3)
= (a2 +a -2)(a) + (a2 +a -2)(-3)
= a3 +a2 -2a -3a2 -3a +6
= a3 -2a2 -5a +6

การหารพหุนาม
   การหารพหุนามมีแนวคิดและทำคล้ายกับการคูณและหารเศษส่วน คือ ใช้หลักการว่า


ตัวอย่างชุดที่ 1


ตัวอย่างชุดที่ 2  ใช้ความรู้เรื่องเลขยกกำลังมาใช้ร่วมกันกับการแยกเศษส่วน



ตัวอย่างชุดที่ 3 ใช้หลักการหารที่ว่า
เศษส่วนที่มีเครื่องหมายหารอยู่ด้านหน้าให้เปลี่ยนเครื่องหมายหารเป็นคูณ และสลับเศษส่วน




ตัวอย่างชุดที่ 4  ใช้การแยกตัวประกอบมาร่วมด้วย


 การหารพหุนามด้วยวิธีการตั้งหารยาว

 แนวคิด มีวิธีการคล้ายกับการตั้งหารตัวเลขทั่วไป โดยที่
รูปแบบการหารของตัวเลขปกติ คือ
  m = nq + r    โดยที่
 m คือตัวตั้ง
 n คือตัวหาร
 q คือผลหาร
 r คือเศษ
รูปแบบ การหารของพหุนาม คือ
   P(x) = N(x)Q(x) + R(x)  โดยที่
 P(x) คือพหุนามที่เป็นตัวตั้ง
 N(x) คือพหุนามที่เป็นตัวหาร
 Q(x) คือพหุนามที่เป็นที่เป็นผลหาร
 R(x) คือพหุนามที่เป็นที่เป็นเศษ

ตัวอย่างที่ 1
ลองมาหาร  x3 -4x -3x2 +12 ด้วย x + 2  กันครับ
วิธีทำ เมื่อจัดเรียงกำลังของตัวแปรจากมากไปหาน้อย
  จะได้ตัวตั้ง เท่ากับ   x3 -3x2 -4x +12

ขั้นตอนการหาร
อธิบายขั้นตอน
เขียนพหุนามให้อยู่รูปของการหารยาว โดยตัวตั้งอยู่ในเครื่องหมายหาร และตัวหารอยู่ด้านหน้าเครื่องหมาย
กำจัดพจน์ที่อยู่หน้าสุด คือ x3 โดยนำ (x + 2) คูณกับ x2 จะได้ x3 +2x2 เขียนผลคูณที่ได้ ไว้ด้านล่าง ให้พจน์ที่เหมือนกันอยู่ตรงกัน แล้วทำการลบ เขียนผลที่ได้คือ -5x2 ด้านล่าง พร้อมกับนำพจน์ถัดไปลงมาเขียนต่อท้าย คือ -4x
กำจัดพจน์ที่อยู่หน้าสุด คือ -5x2 โดยนำ (x + 2) คูณกับ -5x จะได้ -5x2 -10x เขียนผลคูณที่ได้ ไว้ด้านล่าง ให้พจน์ที่เหมือนกันอยู่ตรงกัน แล้วทำการลบ เขียนผลที่ได้ ตือ 6x ไว้ด้านล่าง พร้อมกับนำพจน์ถัดไปลงมาเขียนต่อท้าย คือ +12
กำจัดพจน์ที่อยู่หน้าสุด คือ 6x โดยนำ (x + 2) คูณกับ 6 จะได้ 6x +12 เขียนผลคูณที่ได้ ไว้ด้านล่าง ให้พจน์ที่เหมือนกันอยู่ตรงกัน แล้วทำการลบ ปรากฏว่า ได้ผลลบ เท่ากับ 0

จะได้ว่า
 ตัวตั้ง P(x) คือ x3 -3x2 -4x +12
 ตัวหาร N(x) คือ x+2
 ผลหาร Q(x) คือ x2 -5x +6
 เศษ R(x) คือ 0
 เป็นการหารที่ลงตัว


ตัวอย่างที่ 2
ลองมาหาร  4x4 -6x3 +x +3  ด้วย 2x2 + 2  กันครับ
วิธีทำ จะพบว่ากำลังของตัวแปรบางตัวหายไป


ขั้นตอนการหาร
อธิบายขั้นตอน
เขียนพหุนามให้อยู่รูปของการหารยาว โดยตัวตั้งอยู่ในเครื่องหมายหาร และตัวหารอยู่ด้านหน้าเครื่องหมาย  พจน์ที่ขาดหายคือ x2 ไปให้นำมาเขียนด้วยโดยเติม 0 ไว้ด้านหน้า
กำจัดพจน์ที่อยู่หน้าสุด คือ 4x4 โดยนำ (2x2 + 3) คูณกับ 2x2 จะได้ 4x4 +6x2 เขียนผลคูณที่ได้ ไว้ด้านล่าง ให้พจน์ที่เหมือนกันอยู่ตรงกัน แล้วทำการลบ เขียนผลที่ได้คือ -6x2 ด้านล่าง พร้อมกับนำพจน์ถัดไปลงมาเขียนไว้ด้านหน้า คือ -6x3
กำจัดพจน์ที่อยู่หน้าสุด คือ -6x3 โดยนำ (2x2 + 3) คูณกับ -3x จะได้ -6x3 -9x เขียนผลคูณที่ได้ ไว้ด้านล่าง ให้พจน์ที่เหมือนกันอยู่ตรงกัน แล้วทำการลบ เขียนผลที่ได้ ตือ -10x ไว้ด้านล่าง พร้อมกับนำพจน์ถัดไปลงมาเขียนไว้ด้ารหน้า คือ -6x2
กำจัดพจน์ที่อยู่หน้าสุด คือ -6x2 โดยนำ (2x2 + 3) คูณกับ -3 จะได้ -6x2-9 เขียนผลคูณที่ได้ ไว้ด้านล่าง ให้พจน์ที่เหมือนกันอยู่ตรงกัน แล้วทำการลบ ปรากฏว่า ได้ผลลบ เท่ากับ 10x +12 ซึ่งไม่สามารถหารต่อไปได้ เพราะกำลังของตัวหารคือ 2x2 + 3 มากกว่ากำลังตัวหารคือ 10x+12

จะได้ว่า
 ตัวตั้ง P(x) คือ 4x4 -6x3 +x +3
 ตัวหาร N(x) คือ 2x2 + 3
 ผลหาร Q(x) คือ 2x2 -3x -3
 เศษ R(x) คือ 10x +12
 เป็นการหารที่ไม่ลงตัว



6 ความคิดเห็น: